มาร์คมีกี่แบบและแต่ละแบบมีอะไรบ้างมาดูกัน - มาร์คชาโคล

Breaking

Breaking News

ads header

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

มาร์คมีกี่แบบและแต่ละแบบมีอะไรบ้างมาดูกัน

       

       มนุษย์เรามีความรักสวยรักงามมาตั้งแต่อดีตนับย้อนกลับไปได้เมื่อ 3,500 ปีก่อนเป็นอย่างน้อยโดยนิยมนำสิ่งต่างๆมาพอกหน้า จากหลักฐานมีการใช้ผงเขม่าผสมกับแร่พลวง ในการพอกหน้า โดยหลักฐานยืนยันจากหลุมพระศพกษัตริย์องค์แรกที่ชื่อ Kohl ในราชวงศ์เทไนท์ ของอียิปต์โบราณ พบที่บรรจุผงสำหรับ ทาเปลือกตา เพื่อบำรุงผิวหน้าในอดีต ทั้งยังมีสูตรต่างๆ ที่ใช้พอกหน้ามีหลายแบบ ทั้งใช้โคลน น้ำมัน ดิน และที่โด่งดังคือการใช้ทองคำ ถึงจะไม่มีการยืนยันว่ามาร์คหน้าทองคำ มีการใช้จริงในตำหรับโบราณ แต่ที่โดงดังสุดคงหนีไม่พ้อนพระนางคลีโอพัตรา ฟาโรห์ หญิงผู้เลื่องชื่อในเรื่องความงาม ที่เสียงลือ ข้ออ้างสารพัดสูตรความงามที่มาจากพระนาง โดยพระนางเป็นผู้ที่ทำให้แม่ทัพใหญ่ถึง 2 นายมาสยบในความงามจนเป็นที่เลืองลือเล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน

       แต่หากพูดถึงการดูแลรักษาผิวหน้าในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการทาครีมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิว ครีมกันแดด ครีมบำรุงใต้ตา หรือผลิตภัณฑ์ครีมต่างๆ ซึ่งต่างก็ให้ผลที่ดีแตกต่างกัน แต่สิ่งที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นในบ้านเรานั่นก็คือการมาส์คหน้าด้วยมาร์คต่างๆ
        การมาร์คหน้าคืออะไร การมาร์คหน้าคือมาการทาหรือเคลือบผิวหน้าด้วยสารต่างๆ เพื่อให้ผิวหน้าทำการดูดซับวิตามินต่างๆ พร้อมทั้งกำจัดสิ่งสงปรก และสารพิษต่างๆที่ติดอยู่บนผิวหน้าด้วยสารจากชาโคล ในบ้านเรานิยมเรียกว่า มาร์คชาโคล มาร์คชาโคลดีไหม เด๋วเรามาหาคำตอบกัน นอกจากนี้การมาร์คหน้ายังช่วยในการรักษาสิว ให้กับผิวหน้าที่แพ้ง่าย โดยประเทศที่นิยมการมาร์คหน้ากันมากคือประเทศเกาหลี ดังนั้นผลิตภัณฑ์มาร์คหน้าจึงเป้นที่นิยมและถือเป็นของฝากที่สำคัญจากประเทศเกาหลีกันเลยทีเดียว สังเกตุจากเพื่อนที่เราที่ไปเที่ยวเกาหลีกัน เราก็จะได้ของฝากเป็นมาร์คซะเป็นส่วนมาก 55555+


โดยมาร์คในบ้านเราจะแบ่งออกเป็น 6 ประเภทใหญ่ คือ
       1. มาร์คแบบแผ่น เป็นแผ่นมาร์คที่หาซื้อได้ตามร้านทั่วไปในปัจจุบัน โดยวัสดุที่ใช้ทำประกอบไปด้วย สิ่งต่างๆ มีทั้งทำจาก
           - กระดาษ ชุบสารสกัดต่างๆ
           - ผ้า Cotton แบบ 100% ซึ่งข้อดีคือเป็นผ้าที่ทอมาจากวัสดุธรรมขาติ
           - แผ่นใยสังเคราะห์ นิยมมากในปัจจุบัน เพราะสามารถออกแบบและซึมซับน้ำได้ดี
           - มาร์คแผ่นแบบละลายไปกับผิวหน้าก็มี โดยไม่ต้องล้างออก
          ซึ่งเราสามารถเห็นได้ตามทั่วๆไป ลักษณะจะเป็นแผ่นที่ชุบสารสกัดต่างๆ เมื่อนำมามาร์คที่หน้าจะให้ความรู้สึกชุ่มชื่น ข้อดีคือสะดวก เพราะหลังมาร์กไม่ต้องล้างออก ส่วนข้อเสีย คือ หากเป็นคนที่แพ้ง่ายอาจทำให้เกิดสิว แผ่นมาร์กไม่ติดหน้าหรือไม่ทั่วถึง ทำให้บางจุดไม่ได้ผลในการใช้งาน นอกจากนี้ยังมี

       2. มาร์คแบบครีม ซึ่งในบ้านเราจะมีหลายหลากผลิตภัณฑ์ ทั้งมาร์คครีมต่างๆ มาร์คชาโคล แคปซูล ลักษณะจะเป็นครีมเข้มข้น ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากนอกจากจะช่วยในการบำรุงผิวหน้าและฟื้นฟูผิวแล้ว บางยี่ห้อยังมาการใส่สารสกัดต่างๆ เพื่อให้ผิวขาวกระจ่างใส ข้อดีคือ สามารถใช้ได้ทั่วบริเวณหน้า เพราะเราสามารถเลือกทาในส่วนต่างๆบนใบหน้าได้ นอกจากช่วยในการบำรุงผิวหน้าแล้วยังช่วยในการกำจัดสิวหรือรักษาสิวพุพอง ต่างๆได้ จึงได้รับความนิยมเป็นจำนวนมาก ข้อเสียคือต้องล้างออกหลังจากทำการใช้มาร์ก ไป 15-20 นาที จึงไม่เหมาะกับการมาร์คในขณะจะนอนหลับ แต่ในปัจจุบันการใช้มาร์คแบบครีม มักนิยมทำให้สามารถล้างออกได้ง่าย

       3. มาร์คแบบผง ในบ้านเราปัจจุบันไม่ค่อยได้รับความนิยมแล้วเพราะใช้งานยุ่งยาก โดยต้องเอาผงมาร์คไปละลายกับน้ำก่อนค่อยทา ซึงบางครั้งปริมาณน้ำกับผงอาจไม่เหมาะสมกันทำให้ไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร มีหลากหลายสูตร ทั้ง
          -  ผงมาร์คหน้าขาว ด้วยค่านิยมผิวหน้า ทำให้มีการผลิตผงมาร์คหน้าแบบนี้ออกมาในตลาดบ้านเราตามต้องการผู้บริโภค มักผสมสารสกัดทางเคมี เพื่อให้ผิวหน้าขาว อย่างรวดเร็ว
          -  ผงมาร์คหน้าแบบบำรุง พบในกลุ่มมาร์คหน้าโสม ทองคำ น้ำนมข้าว สาหร่าย
          -  ผงมาร์คหน้าแบบขจัดสิ่งสกปรกอุดตันบนใบหน้า มีส่วนผสมของผงถ่านดูดซับสิ่งสกปรกจาโดยถ่านที่นำมาผสมเป็นถ่านไม้ที่ผ่านการเผาบ้านเรามักเรียกว่า มาร์คชาโคล ลอกสิว
          -  ผงมาร์คหน้าเพื่อผิวเหนื่อยล้า พบได้จากมาร์คจำพวก ผงมาร์คหน้าจากสมุนไพรนานาชนิด

       4. มาร์คแบบร้อน มาร์คแบบนี้จะนำมาทาที่ผิวหน้า แล้วเกิดความร้อนร้อน เหมาะกับผิวหน้าที่ต้องการเปิดรูขุมขน สำหรับกำจัดสิ่งสงปรก

       5. มาร์คดินเหนียว เป็นมาร์คที่ทำขึ้นจากดิน Bentonite/Kaolin เหมาะกับคนที่มีผิวหน้ามัน ข้อเสียล้างออกยาก

       6. มาร์คจากธรรมชาติ ข้อดีคือสามารถทำเองได้ที่บ้านโดยใช้ แตงกวา มะเขือเทศ มะนาว หรือผลไม้ที่มีวิตามิน ซีสูง มาแปะไว้ในบริเวณที่ต้องการ โดยมีสูตรที่คิดค้นกันเองและได้รับความนิยมแตกต่างกันออกไป แบ่งออกได้เป็นหลากหลายสูตรเช่น
      -   สูตร แตงกวา+ไข่ขาว+มะนาว นำมาหั่นหรือปั่นแล้วผสมกันแล้วพองหน้า
      -   สูตรมะเขือเทศใช้การหัน หรือปั่นมะเขือเทศแล้วนำมาพอกหน้า แต่บางครั้งก็ใช้วิธีฝานเป็นแผ่นบางๆ แทน
      -   สูตรน้ำผึ้ง+มะขามเปียก ใช้น้ำผึ้งผสมกับน้ำมะขามเปียก แลวนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีค่อยล้างออก
      -   สูตรว่านหางจรเข้ ใช้ว่านหางจรเข้มาฝานเอาเปลือกออกแล้วล้างยางออก ก่อนที่จะฝานเป้นแผ่นบางๆมาแปะที่หน้า หรือบางครั้งใช้การสับให้ละเอียดแล้วพวกหน้าโดยตรง ข้อดีคือรักษาสิวอักเสบต่างๆ แต่ต้องระวังยางจากว่านด้วยนะ
      -  สูตรน่ำนมสด + ใบบัวบก นำ นมสดผสมกับใบบัวบกที่ครั่นน้ำแล้วผสมกันจนเกิดความเหนียวหนืดพอสมควร แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20-30 นาทีคอยล้างออก บางครั้งจะผสมไข่ขาวลงไปด้วยเพื่อเพิ่มความหนืด
      -  สูตรน้ำผึ้ง+น้ำมะนาว ด้วยมะนาวเป็นแหล่งที่รวมวิตามิน ซี ไว้มากบวกกับน้ำผึ้ง จึงเป็นที่มาของสูตรนี้ โดยใช้นำ้ผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา คนให้เข้ากันแล้วพวกทิ้งไน 10-15 นาทีค่อยล้างออก
     -   สูตรน้ำผึง+กล้วยหอม ใช้กล้วยหอมที่สุกแล้วผสมกับน้ำผึ้ง คนให้เข้ากันทาให้ทั่วบริเวณหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาทีค่อยล้างออก
     -    สูตรขมิ้นชัน+โยเกิร์ต/น้ำผึ้ง ใช้ขมิ้นชันตำให้แหลกผสมกับน้ำผึ้ง หรือโยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ คนให้เข้ากันแล้วพอกหน้า ทิ้งไว้ 15-30 นาทีค้อยล้างออก
     -   สูตรโยเกิร์ตสูตรธรรมชาติ นำโยเกิร์ตสูตรธรรมชาตมาพอกที่หน้าเลย 30 นาทีแล้วค่อยล้างออก เหมาะกับผิวหน้าที่โดดแดดจนใหม้ หรือมีรอยแดดงจากแสงแดด ลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
     -   สูตรแอปเปิล+นมสด นำนมสดและแอปเปิลมาปั่นรวมกันแล้วพอกหน้าทิ้งไว้ 30 นาทีค่อยล้างออก ช่วยในการทำให้ผิวหน้าชุมชื่น
     -   สูตรดินสอพอง+น้ำมะนาว เป็นสูตรโบราณนิยมกันมากในอดีต เนื่องจาก ในน้ำมะนาวมีวิตามิน ซีสูง ผสมกับดินสอพองที่ช่วยในการรักษาอาการอักเสบของสิว นิยมนำมาใช้ในการรักษาสิว โดยนำดินสอพอกมาละลายด้วยน้ำมะนาว แล้วพอกทิ้งไว้จนแห้งค่อยล้างออก
     -   สูตรไข่ขาว+ดินสอพอง+น้ำมะนาว เป็นอีกสูตรที่พัฒนาขึ้นจากสูตรเดิม ช่วยในการกำจัดสิวเสี้ยนและสิวอุดตัน วิธีทำคือนำไข่ขาวผสมกับดินสอพอกบดละเอียด ผสมด้วยน้ำมะนาว อัตราส่วน ไข่ 1 ฟอง ดินสอพอก 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาว 2 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน พอกให้ทั่วหน้า ทิ้งไว้ 10-20 นาที หรือจนแห้งแล้วค่อยล้างออก ด้วยน้ำสะอาด แต่ข้อควรระวังต้องล้างให้สะอาด ไม่งั้นผงดินสอพองอาจไปอุดตันที่ดูขุมขน จนทำให้เกิดสิวได้

      7. มาร์คหน้าจากครีม จะเป็นครีมมาร์คหน้า ลักษณะเป็นเนื้อครีมเข้มข้น มีทั้งที่เป็นสีขาว สีขาวนวล และสีขาวเข้มเทา ซึ่งตัวสีัเทาคือตัวที่มีส่วนผสมของ ชาโคล (Charcoal) หรือผงถ่าน บ้านเราเรียกกันติดปากว่ามาร์คชาโคล allya ใช้ใช้มาร์คหน้าอย่างเป็นประจำจะชวนบำรุงผิวหน้าได้เป็นอย่างดี

      8. มาร์คแบบเจล มาร์คแบบนี้จะเป็นลักษณะเจลบางๆ เมื่อทางลงไปจะให้ความรู้สึกเย็น มองดูคล้ายแผ่นฟิล์มใสๆ ทาที่หน้า ช่วยในการกำจัดสิ่งสกปรก และล้างออกได้ง่าย

      9. มาร์คด้วยโคลน ได้รับความนิยมเมื่อซัก 4-5 ปีก่อน โดยนิยมใช้ส่วนผสมของ โคลนจากที่ต่างๆมาเป็นส่วนผสมหลัก ทั้งโคลนจากภูเขาไฟ โคลนจากทะเลสาปเดดซี (Dead sea) โคลนจากน้ำพุร้อน
ซึ่งให้สารสกัดจากแร่ธาตุต่างๆ ที่อยู่ในโคลน ทั้งเหล็ก ทองแดง แมกนีเซียม


       จากข้อมูลข้างต้นจะเห็นถึงมาร์คแบบต่างๆที่กล่าวมาซึ่งมีทั้งข้อดีและข้อเสียต่างๆกันไป แต่จริงๆแล้วการมาร์คหน้าที่ดีควรทำอย่างน้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง เพื่อถนอมผิวหน้าให้ดูสดใส ไม่แก่ก่อนไว และอย่าลืมทาครีมกันแดด หรือหลีกเลี่ยงแสงแดด เพื่อให้ร่างกายผลิตเมลามีนในปริมาณที่น้อยที่สุด ผิวหน้าจะได้สดใสอ่อนวัยตลอดเวลา แบ่งออกเป็นข้อๆได้ดังนี้
      -   ช่วยในการบำรุงผิวหน้า สำหรับคนที่ผิวแห้ง โดยมาร์คจะเป็นช่วยในการทำให้หน้าชุ่มชื่น จึงเป็นที่นิยมในคนที่มีผิวหน้าแห้ง ลอกง่าย เพราะช่วยบำรุงและสร้างความชุ่มชื่นนั่นเอง ใครที่ผิวแห้ง ลองไปมาร์คหน้าบ่อยๆนะ
      -  เป็นการบำรุงผิวด้วยตัวเอง สามารถทำได้เองง่ายๆ ที่บ้าน เพราะวิธีการใช้งานที่ง่าย และสะดวก โดยคนไทยเรานิยมนำไปแช่เย็นก่อน ทำการมาร์คโดยให้เหตุผลว่าสามารถสร้างความชุ่มชื่นได้ดียิ่งขึ้น
      -  เป็นตัวช่วยในการล้างสิ่งสกปรกที่ล้ำลึก ในแบบที่การล้างหน้าไม่สามารถทำได้ โดยนิยมใช้เพื่อล้างสารเคมีต่างๆที่ติดอยู่กับในหน้า โดยการใช้งานแทนการใช้โทนเนอร์ในการเช็ดหน้า **โทนเนอร์เป็นสารเคมี**
      -  เป็นการรักษาสิว สิวอักเสบ สิวต่างๆ มาร์คชาโคล รักษาสิว ได้ในบางยี่ห้อ เพราะผลจากการมาร์คหน้านอกจากเราจะได้การบำรุงรักษา เพื่มความชุ่มชื่น เพื่มน้ำในผิวหน้าไม่ให้หน้าแห้งแล้ว ผลประโยชน์ที่เราได้มาแบบไม่ตั้งใจอีกอย่างนึงก็คือ ช่วยในการกำจัดสิว และบำรุงรักษาสิว ไปในตัว ได้ประโยชน์วินๆกันไป
       
     
         มาร์คชาโคลดีไหม  มาร์คชาโคลทำมาจากอะไรและ ชาโคลคืออะไร ชาโคลคือถ่านที่ได้จากการเผาไหม้ด้วยอุณหภูมิสูงถึง 1000 องศาเซลเซียส เพื่อให้ได้ถ่านหรือคนไทยมักเรียกว่าคาร์บอน มีสีดำ โดยไม้ที่ใช้ในการผลิตชาโคล มีทั้งไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อนต่างๆ ในญี่ปุ่นนิยมใช้ไม้ไผ่มาเผาเพื่อทำชาโคล ส่วนในไทยนิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหาร จะเห็นได้จากขนมเปียกปูน นั่นก็เกิดจากถ่านเหมือนกัน โดยคุณสมบัติของชาโคลที่เป็นที่ยอมรับคือ ลดการอักเสบของสิว ดูดของเสียและสิ่งสกปรก ของเสีย กลิ่น และสารเคมีต่างๆได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังนิยมนำไปผสมในยาสีฟัน เพื่อลดน้ำทำให้ลดการเกิดของแบคทีเรีย ช่วยในการลดกลิ่นปาก **รวมทั้งยังใช้ในการรักษาอาการท้องเสียด้วยนะ**
        ชาโคล ไม่ใช่ชาเขียวอย่าเข้าใจผิด เพราะชาเขียวก็คือชาชนิดหนึ่ง แต่ในผลิตภัณฑ์ที่มีชาโคลนิยมผสมชาเขียวลงไปด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบำรุงรักษาได้ดีขึ้น จนบางครั้ง บางคนเข้าใจผิดคิดว่าชาโคลคือชาเขียวนั่นเอง รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางค์นิยมเอาชาเขียวมาผสมแล้วใช้สีของชาเขียวที่เป็นส่วนผสมของชาโคลเป็นภาพ ทำให้เข้าใจผิดได้
                
        ส่วนวิธีการใช้งานมาร์คแบบต่างๆ นั้นขึ้นอยู่กับมาร์คที่ใช้เป็นชนิดใด ซึ่งในการมาร์คหน้านั้นก็ใช้เวลาในแต่ละชนิดไม่เท่ากัน แต่เวลาที่ดีที่สุดอยู่ในช่วง 15-30 นาที และระยะเวลาที่นิยมใช้มาร์คหน้าคือเวลาก่อนเข้านอน เพราะจะได้ทำการพักหน้า และหน้าก็ปราศจากเครื่องสำอางค์ ทำให้ผิวหน้าซึมซับ สารสกัดต่างๆที่อยู่ในมาร์กได้อย่างเต็มที แต่อย่างที่บอกละมาร์คแต่ละอย่างไม่ใช้ว่าจะใช้ได้ดีกับผิวหน้าเราเสมอไปหากสูตรผสมของแต่ละอย่างอาจทำให้แพ้ได้ ทั้งนี้มาร์คบางแบบอาจมีส่าวนผสมของสารเคมี เพื่อเพิ่มความขาว ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่ายในส่วนของคนที่มีผิวหน้าที่บอบบาง ส่วนคนที่มีผิวหน้าแห้งมาก ไม่ควรใช้มาร์คที่มีส่วนผสมของสารเคมีเช่นกัน เพราะจะทำให้เกิดสิวอุดตัน ทั้งนี้หลังจากทำการมาร์คหน้าแล้ว หากเป็นมาร์คแบบครีม หรือมาร์คที่ต้องล้างออก ก็เป็นมาร์คที่ดีแต่อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดด้วยนะ ไม่อย่างงั้นอาจทำให้เกิดสิวแล้วจะมาโทษว่ามาร์คไม่ดีไม่ได้นะ

      ทั้ง allya มาร์คชาโคล รีวิวมีเพียบเลยนะ ในโอกาสหน้าจะนำมาเสนอวิธีการหรือ รีวิวมาร์คแบบต่างๆต่อไป
       


ภาพจาก www.allya-thailand.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น